Last updated: 26 ก.ย. 2566 | 2921 จำนวนผู้เข้าชม |
บทสัมภาษณ์ ทนายเดโช คงสุข
ทนายความและที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส บริษัท กฎหมายชาญดิศ จำกัด
‘ซื่อสัตย์ จริงใจ’ คาถาความสำเร็จ ของอาชีพทนายความ
"ข้อดีของการค้นพบตัวเองไว จะทำให้เราได้ทำในสิ่งที่ชอบอย่างมีเป้าหมายชัดเจนสามารถมุ่งสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จได้เร็วขึ้น”
เช่นเดียวกับ ทนายเดโช คงสุข ทนายความและที่ปรึกษากฎหมายอาวุโส บริษัท กฎหมายชาญดิศ จำกัด ที่รู้ตัวเองอย่างชัดเจนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย หลังจากพยายามตั้งคำถามกับตัวเองสม่ำเสมอว่า เมื่อโตขึ้น อยากประกอบอาชีพอะไร? อยากใช้ชีวิตแบบไหน?
ทนายเดโช คงสุข ได้เล่าว่า แนวคิดในการเลือกอาชีพตามที่ต้องการนั้น เค้าได้กำหนดเงื่อนไขในการเลือกอาชีพว่า ต้องเป็นอาชีพที่อิสระไม่เป็นลูกน้องใคร สามารถเดินทางไปทำงานและได้ท่องเที่ยวไปทั่วประเทศพร้อมๆกันได้ สามารถบริหารเวลาการทำงานและเวลาในการใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ และที่สำคัญต้องเป็นอาชีพที่สามารถสร้างรายได้พอสมควรและสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างสง่าผ่าเผยและมีเกียรติ ประกอบกับในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีโอกาสได้รู้จักกับทนายความรุ่นพี่ท่านหนึ่ง และได้เห็นแนวคิวและรูปแบบการทำงาน จึงทำให้ได้คำตอบว่า อาชีพที่ตอบโจทย์กับสิ่งที่เค้าต้องการนั้น คือ อาชีพทนายความ
จากเด็กสายวิทย์-คณิต โรงเรียนประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี มุ่งสู่การเรียนมหาวิทยาลัยในคณะนิติศาสตร์ ด้วยความมุมานะ พยายาม อดทนอย่างไม่ย่อท้อมาตลอด จนสามารถสอบได้ใบอนุญาตประกอบอาชีพทนายความสำเร็จเมื่อปี พศ. 2550 ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาตั้งใจเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์อย่างต่อเนื่องและด้วยความโชคดีในการเริ่มประกอบอาชีพทนายความ ทนายเดโช คงสุขได้เริ่มต้นอาชีพทนายความโดยได้ร่วมงานกับอดีตอธิบดีผู้พิพากษาท่านหนึ่งซึ่งได้เปิดบริษัทกฎหมายหลังจากที่ท่านได้เกษียณอายุราชการ และด้วยความมุ่งมั่นและเต็มที่กับการทำงาน ท่านผู้พิพากษาท่านนั้นจึงได้ไว้วางใจและมอบหมายให้ทนายเดโช คงสุข ได้รับผิดชอบทำคดีใหญ่ๆหลากหลายคดี ซึ่งในการที่ทำคดีโดยมีท่านผู้พิพากษาคอยชี้แนะถึงแนวทางในการทำคดีในรูปแบบต่างๆ ทำให้ ทนายเดโช คงสุข ได้มีโอกาสสร้างสมประสบการณ์และสามารถทำคดีต่างๆได้อย่างรอบคอบและแม่นยำในข้อกฎหมายและมีความมั่นใจในการทำคดีเป็นอย่างยิ่งซึ่งถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถพบได้บ่อยๆโดยตลอดระยะเวลาการเป็นทนายความมากว่า 16 ปี ทนายเดโช คงสุข ได้มีโอกาสทำคดีทั้งคดีเล็กคดีใหญ่ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา คดีแรงงาน คดีฟอกเงิน คดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบฯลฯ มาแล้วรวมกันไม่น้อยกว่า 1,500 คดี
หนึ่งความภูมิใจของการเป็นทนาย คือ ช่วยเหลือคนเดือดร้อน
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทนายเดโชเป็นทั้งทนายความและเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับบริษัทเอกชนชื่อดังระดับต้นๆของประเทศ เขาทำคดีมาแล้วทุกประเภท ซึ่งทุกๆคดีเขามุ่งมั่นตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุด เพื่อมุ่งหวังรักษาผลประโยชน์ให้ลูกความให้มากที่สุดแต่ทั้งนี้ในการรักษาผลประโยชน์ของลูกความจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักมนุษยธรรมอันดีด้วย ซึ่งบทสรุปของคดีส่วนใหญ่มักจบลงด้วยดี และทนายเดโชก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือลูกความให้หลุดพ้นจากความทุกข์และหลุดพ้นจากการตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เป็นผู้กระทำผิด ซึ่งเคสที่เขาภูมิใจทำให้ผู้ที่ตกเป็นจำเลยสังคม พ้นคำครหา และได้รับความเป็นธรรมมีมากมายหลายเคส แต่ขอยกตัวอย่างมาเพียง 2 คดี
"ครั้งนั้นผมเป็นทนายความคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งลูกความในฐานะจำเลยเป็นนายกเทศมนตรีที่ถูกอัยการและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช ที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ข้อหา ฐานทุจริตเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างซื้อขายที่ดินแห่งหนึ่ง โดยกล่าวหาว่านายกเทศมนตรีมีเจตนาทุจริตในการจัดซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานเทศบาล ในราคาที่สูงกว่าปกติ หลังจากที่ผมได้ซักข้อเท็จจริงและตรวจสอบพยานหลักฐานกับลูกความ และลงพื้นที่เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานต่างๆ จึงพบว่า ราคาที่ดินที่นายกฯดูแลเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวเป็นราคาที่ไม่สูงกว่าราคาท้องตลาดทั่วไป และทราบว่าสาเหตุที่นายกฯถูกดำเนินคดีนั้นเป็นเพราะเกมทางการเมือง โดยมีคู่แข่งทางการเมืองท่านนึงได้ จัดฉากซื้อที่ดินบริเวณเดียวกันกับที่ดินที่นายกทำการซื้อ โดยกำหนดราคาซื้อขายในเอกสัญญาซื้อขายในราคาที่ต่ำมากซึ่งต่ำกว่าราคาประเมินที่ดินของสำนักงานที่ดินอีกซึ่งดูแล้วมีพิรุธมาก และจากการตรวจสอบเรื่องราคาที่ดินและเอกสารต่างๆทำให้รู้ว่าคู่แข่งทางการเมืองอีกฝ่ายจงใจสร้างหลักฐานเท็จด้วยการซื้อที่ดินในราคาที่ถูกกว่าราคาประเมินและราคาท้องตลาดเป็นอย่างมากทั้งนี้เพื่อจงใจกลั่นแกล้งนายกฯ ด้วยเหตุผลว่าเป็นคู่แข่งทางการเมืองกัน เมื่อได้เห็นหลักฐานต่างๆแล้วผมจึงแนะนำให้นายกฯให้การปฏิเสธคำฟ้องโจทก์และต่อสู้คดี และท้ายที่สุดศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์
ส่วนคดีต่อมา ผมได้เป็นทนายความในคดีฉ้อโกง ให้ครูระดับซี 8 ทั้ง 2 ท่าน ที่ถูกโจทก์ซึ่งเป็นครูซี 9 ยื่นฟ้องลูกความผมว่ามีการฉ้อโกง กล่าวอ้างว่า ลูกความผมได้หลอกผู้เสียหายว่าได้ชักชวนผู้เสียหายเพื่อให้นำเงินมามอบให้ลูกความผมเพื่อนำไปลงทุนกับบริษัทแห่งหนึ่งแต่กลับเอาเงินไปใช้เองโดยทุจริต ซึ่งจากการซักถามข้อเท็จจริงจากลูกความของผมพร้อมกับตรวจสอบพยานเอกสารต่างๆ จึงทำให้ทราบว่าข้อความที่ผู้เสียหายแจ้งความร้องทุกข์นั้นไม่เป็นความจริง ลูกความผมไม่ได้กระทำความผิด ซึ่งช่วงแรกลูกความผมอยากให้ทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรม แต่เนื่องจากคดีนี้ผู้เสียหายเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อ้างว่ารู้จักผู้หลักผู้ใหญ่เพื่อให้ช่วยคดีได้ ผมเลยแจ้งกับลูกความว่าเคสนี้ไม่ควรร้องขอความเป็นธรรมแต่ควรให้การปฏิเสธและไปสู้คดีกันในชั้นศาล ซึ่งหลังจากมีการต่อสู้คดีและสืบพยานต่อศาลแล้ว ท้ายที่สุดคดีนี้ศาลยกฟ้องคดีของโจทก์เนื่องจากลูกความของผมไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง
จากประสบการณ์ในการทำคดีประเภทต่างๆนั้นผมมองว่าทุกๆคดีมีความยากง่ายต่างกัน แต่สิ่งสำคัญอันดับแรก ทนายจะต้องซักข้อเท็จจริงจากลูกความของตัวเองและต้องตรวจสอบพยานหลักฐานที่สำคัญต่างๆในคดีให้ครบถ้วน อีกทั้งจะต้องทำให้ลูกความเล่าข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนที่สุด เพราะถ้าลูกความไม่ให้ความร่วมมือ หรือ บอกไม่หมด มันอาจจะทำให้แนวทางในการวางโครงรูปคดีผิดไปได้ ซึ่งการปกปิดข้อเท็จจริงบางอย่างสำคัญมากถึงขนาดทำให้คดีแพ้ได้โดยง่ายเลย ”
มุ่งสู่ทนายความมืออาชีพ ต้อง 'เรียนรู้ทฤษฎี' และ 'เรียนรู้ประสบการณ์'
จากการรับทำคดีมามากมาย ทนายเดโชให้ความเห็นว่า หากอยากเป็นทนายที่มีความเป็นมืออาชีพและ ชำนาญการ นอกเหนือจากการศึกษาหาความรู้ข้อกฎหมายแล้วการค้นคว้าหาฎีกาเกี่ยวกับคดีประเภทนั้นๆล้วนสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะทนายเชื่อว่าทุกๆประเภทคดีส่วนใหญ่ล้วนเคยมีการต่อสู้กันและศาลมีคำพิพากษามาแล้วทั้งนั้น ซึ่งหากค้นคว้าฎีกาเยอะๆจะทำให้ทนายความสามารถวางรูปคดีและแนวทางในการทำคดีได้ง่ายและได้ผลทางคดีที่ดี และที่สำคัญในการทำคดีให้ได้ผลทางคดีที่ต้องการ ทนายความจะต้องหาจุดแพ้ชนะคดีของคดีประเภทนั้นๆให้เจอและตรวจสอบพยานหลักฐานที่จะใช้นำสืบต่อศาลว่ามีครบถ้วนหรือไม่ หากมีครบถ้วนการทำคดีนั้นๆก็มักจะออกมาในรูปแบบที่น่าพอใจ
นอกจากนี้เทคนิคในการสืบพยานก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำคดี ทนายจะต้องคอยสังเกตุว่าพยานแต่ละคนมีลักษณะนิสัยเป็นแบบไหน เช่น พยานขี้กลัว พยานชอบโอ้อวด หรือ ชอบอธิบาย เพื่อที่จะได้ใช้เทคนิคในการตั้งคำถามให้เหมาะสมกับพยานคนนั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลล้วนต้องเกิดจากการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์จากการทำคดีจริงๆ
‘ทนาย’ ดั่ง ‘หมอ’ ช่วยเยียวยาจิตใจและคลายทุกข์
"ในแง่ของสายอาชีพ ผมว่า ทนายเปรียบเหมือนหมอ ซึ่งเรียกว่า หมอความ นอกจากทนายความจะรักษาผลประโยชน์ให้กับลูกความให้มากที่สุดแล้ว ทนายยังช่วยคลี่คลายปัญหาต่างๆผ่านทางข้อกฎหมาย ให้คนที่มาปรึกษาได้หลุดพ้นจากความทุกข์ และช่วยดูแลรักษาจิตใจให้พวกเขาไปในทางที่ดีขึ้น”
ซื่อสัตย์ จริงใจ ผดุงความยุติธรรม คือ นิยามแห่งความสำเร็จ
ตลอดระยะเวลาการเป็นทนายความที่เขารับทำคดีให้ทุกระดับ ตั้งแต่ ชาวบ้าน ดารา คุณหมอ นักธุรกิจไปจนถึงนักการเมือง นอกเหนือจากความมุ่งมั่น ทุ่มเทในการทำงานโดยมุ่งเน้นลดความขัดแย้งและหาทางออกแบบสันติ สิ่งสำคัญที่ทนายเดโชยึดมั่นมาโดยตลอด นั่นคือ ความซื่อสัตย์ จริงใจ และการให้ความเป็นธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่าย เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เขามายืนอยู่จุดนี้ได้และยืนหยัดได้อย่างยาวนานอีกด้วย
“ด้วยอาชีพ ทนายความ เป็นอาชีพที่สามารถสร้างได้ทั้งบุญและบาป ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของทนายความแต่ละคนว่าต้องการเลือกที่จะเป็นแบบไหน อย่างเช่น ทนายบางคนอาจเน้นสร้างผลงานให้ตัวเองเก่ง เน้นต้องชนะคดี โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบและวิธีการ ไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม ที่สำคัญถ้าทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่ง ก็อยู่ในอาชีพนี้ได้ไม่นาน เหมือนสุภาษิต ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน แต่ถ้าเราเลือกตั้งมั่นบนฐานของความดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ จริงใจ แก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นกับผู้เดือดร้อน ไม่ให้เขารู้สึกว่าต้องสู้อย่างโดดเดี่ยว หลังจากนั้น ลูกความจะสัมผัสได้เอง และเมื่อเขาเห็นว่าผลงานออกมาดี ทนายมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ในการทำงาน แล้วพวกเขาจะช่วยโฆษณาให้กับทนายความนั้นๆแบบบอกต่อกันปากต่อปาก”
ช่วยเหลือสังคม ทำด้วยใจ ไม่หวังผล คือ เป้าหมายในอนาคต
หลังจากทนายเดโช ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมาระดับหนึ่งแล้ว เขามองว่า ถึงเวลาตอบแทนสังคม ด้วยการตั้งจัดโครงการบรรยายให้ความรู้ทางข้อกฎหมายแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ในนามของบริษัท กฎหมายชาญดิศ จำกัด โดยใช้ชื่อโครงการว่า “โครงการนั่งคุยกับทนาย” ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนที่ส่วนใหญ่ไม่รู้ข้อกฎหมาย จนทำให้เสียโอกาสในการต่อสู้คดีทั้ง ๆ ที่บางคดีมีข้อต่อสู้ได้
ทนายเดโชเล่าว่า“ผมขอยกตัวอย่างคดีหนี้สิน เป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา ไม่ต้องติดคุก แต่พอคนไม่รู้กฎหมาย เขาจะเข้าใจว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ จนเครียดและกดดันเมื่อถูกทวงถาม ก็ไม่รู้จะหาทางหาเงินมาใช้หนี้ยังไง เมื่อหาทางออกไม่ได้ก็คิดสั้น ถึงขั้นฆ่าตัวตาย ฉะนั้น การรู้ข้อกฎหมาย การได้มีโอกาสคุยกับทนายเปรียบเหมือนมีที่ปรึกษาที่ช่วยให้พวกเขาพบทางออก และเข้าใจมากขึ้นว่า เป็นหนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น เราสามารถต่อรองกับเจ้าหนี้ได้
ฉะนั้น การจัดตั้ง “โครงการนั่งคุยกับทนาย” อันเป็นโครงการตอบแทนสังคมเพื่อให้ความรู้ทางข้อกฎหมายแก่ประชาชนก็เพื่อนำสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญมาช่วยเหลือสังคม มุ่งหวังในการช่วยคนที่กำลังทุกข์ใจให้ได้มากที่สุด โดยเริ่มจากการไปเป็นวิทยากรให้ตามหน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบล และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความรู้เรื่องกฎหมายกับบุคคลากรทางการศึกษา ซึ่งหากบุคคลาการทางการศึกษาเหล่านี้ประสบปัญหาคดีความเกี่ยวกับหนี้สินและไม่มีที่พึ่งหรือที่ปรึกษาทางกฎหมาย หรือ รู้สึกว่าเขากำลังต่อสู่ด้วยตัวคนเดียว เขาจะเกิดความเครียดและส่งผลต่อประสิทธิภาพในการสอนเด็ก ๆ ได้"
เท่านั้นยังไม่พอ ทนายเดโชยังมีอีกเป้าหมาย คือ การส่งต่อความรู้และสร้างทีมทนายความรุ่นใหม่ที่ยึดมั่นอุดมการณ์เดียวกัน มุ่งหวังสรรสร้างทนายดี ๆ เพื่อมาช่วยเหลือผู้เดือดร้อนทางใจให้เขาคลายทุกข์และมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้นด้วย
...................